
โรคมะเร็งตับกับเบาหวานเกี่ยวกันยังไง?
มะเร็งตับ เป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบได้บ่อยทั่วโลก โดยเฉพาะในผู้ชายซึ่งพบเป็นอันดับที่ 5 และในผู้หญิงเป็นอันดับที่ 7 หนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งตับคือ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งมีผลกระทบระยะยาวต่อตับ แม้ว่าเบาหวานและโรคอ้วนจะพบได้บ่อย แต่สามารถป้องกันและควบคุมได้ด้วยการดูแลสุขภาพและปรับพฤติกรรม
ความเชื่อมโยงระหว่างเบาหวานกับตับ
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 มักมาพร้อมกับภาวะอ้วนและภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาการเมตาบอลิก ปัจจัยเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงของ โรคไขมันคั่งตับ (MASLD)
ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตับจึงเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินให้เป็นไขมัน ทำให้ไขมันสะสมในตับมากขึ้น และอาจกลายเป็น ตับแข็ง หรือ มะเร็งตับ ได้ในที่สุด
เบาหวานทำให้ตับเสื่อมลงได้อย่างไร?
หน้าที่สำคัญของตับคือการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยอาศัยฮอร์โมนอินซูลินซึ่งผลิตจากตับอ่อน อินซูลินจะส่งสัญญาณให้เซลล์ดูดซึมกลูโคสจากกระแสเลือด แต่หากตับได้รับความเสียหายจากไขมันสะสมหรือเกิดพังผืด เซลล์จะตอบสนองต่ออินซูลินได้น้อยลง ส่งผลให้เกิด ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นหัวใจของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และเป็นวงจรที่ทำให้โรคตับทรุดหนักขึ้นอย่างช้า ๆ มีภาวะตับอักเสบเรื้อรัง
เมื่อโรคดำเนินไปโดยไม่มีการควบคุมอาจทำให้เกิดภาวะตับแข็งรุนแรง อาการที่อาจพบ ได้แก่ ตัวเหลือง อ่อนเพลีย มีเลือดออกในทางเดินอาหาร ท้องโต หรือมีอาการสับสน
เบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งตับแค่ไหน?
จากงานวิจัยพบว่าผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีความเสี่ยงต่อมะเร็งตับเพิ่มขึ้น 2–4 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่เป็นเบาหวาน ปัจจัยที่ส่งผล ได้แก่ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน การอักเสบเรื้อรังของตับ การสะสมไขมันในตับ การมีภาวะพังผืดสะสมในตับ การดูแลเบาหวานให้ดีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งตับได้อย่างมีนัยสำคัญ
วิธีลดความเสี่ยงมะเร็งตับในผู้ป่วยเบาหวาน
เพื่อปกป้องตับและลดความเสี่ยงมะเร็ง ควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ โดย
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- รับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว และธัญพืชไม่ขัดสี
- หลีกเลี่ยงน้ำตาลที่เติมในเครื่องดื่ม
- จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ เช่น Fasting Blood Sugar (FBS) และ HbA1C พร้อมพิจารณาการใช้ยาควบคุมตามความเหมาะสม
ตรวจบทความโดย: ผศ. นพ.สุพจน์ นิ่มอนงค์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ชั้น 4 โซน A
บทความที่เกี่ยวข้อง
มะเร็งตับ เป็นหนึ่งในมะเร็งที่พบได้บ่อยทั่วโลก โดยเฉพาะในผู้ชายซึ่งพบเป็นอันดับที่ 5 และในผู้หญิงเป็นอันดับที่ 7 หนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่ทำให้เกิดมะเร็งตับคือ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งมีผลกระทบระยะยาวต่อตับ แม้ว่าเบาหวานและโรคอ้วนจะพบได้บ่อย แต่สามารถป้องกันและควบคุมได้ด้วยการดูแลสุขภาพและปรับพฤติกรรม
ความเชื่อมโยงระหว่างเบาหวานกับตับ
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 มักมาพร้อมกับภาวะอ้วนและภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มอาการเมตาบอลิก ปัจจัยเหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงของ โรคไขมันคั่งตับ (MASLD)
ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตับจึงเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินให้เป็นไขมัน ทำให้ไขมันสะสมในตับมากขึ้น และอาจกลายเป็น ตับแข็ง หรือ มะเร็งตับ ได้ในที่สุด
เบาหวานทำให้ตับเสื่อมลงได้อย่างไร?
หน้าที่สำคัญของตับคือการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด โดยอาศัยฮอร์โมนอินซูลินซึ่งผลิตจากตับอ่อน อินซูลินจะส่งสัญญาณให้เซลล์ดูดซึมกลูโคสจากกระแสเลือด แต่หากตับได้รับความเสียหายจากไขมันสะสมหรือเกิดพังผืด เซลล์จะตอบสนองต่ออินซูลินได้น้อยลง ส่งผลให้เกิด ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งเป็นหัวใจของโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และเป็นวงจรที่ทำให้โรคตับทรุดหนักขึ้นอย่างช้า ๆ มีภาวะตับอักเสบเรื้อรัง
เมื่อโรคดำเนินไปโดยไม่มีการควบคุมอาจทำให้เกิดภาวะตับแข็งรุนแรง อาการที่อาจพบ ได้แก่ ตัวเหลือง อ่อนเพลีย มีเลือดออกในทางเดินอาหาร ท้องโต หรือมีอาการสับสน
เบาหวานชนิดที่ 2 เพิ่มความเสี่ยงมะเร็งตับแค่ไหน?
จากงานวิจัยพบว่าผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มีความเสี่ยงต่อมะเร็งตับเพิ่มขึ้น 2–4 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่เป็นเบาหวาน ปัจจัยที่ส่งผล ได้แก่ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน การอักเสบเรื้อรังของตับ การสะสมไขมันในตับ การมีภาวะพังผืดสะสมในตับ การดูแลเบาหวานให้ดีจะช่วยลดความเสี่ยงต่อมะเร็งตับได้อย่างมีนัยสำคัญ
วิธีลดความเสี่ยงมะเร็งตับในผู้ป่วยเบาหวาน
เพื่อปกป้องตับและลดความเสี่ยงมะเร็ง ควรรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ โดย
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
- รับประทานอาหารที่มีดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว และธัญพืชไม่ขัดสี
- หลีกเลี่ยงน้ำตาลที่เติมในเครื่องดื่ม
- จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
นอกจากนี้ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ เช่น Fasting Blood Sugar (FBS) และ HbA1C พร้อมพิจารณาการใช้ยาควบคุมตามความเหมาะสม
ตรวจบทความโดย: ผศ. นพ.สุพจน์ นิ่มอนงค์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ชั้น 4 โซน A
บทความที่เกี่ยวข้อง