logo
โรคหัวใจ ใครเสี่ยง?

โรคหัวใจ ใครเสี่ยง?

หัวใจ เป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และทำงานหนักตลอดเวลา หัวใจวางอยู่กึ่งกลางทรวงอกเยื้องไปข้างซ้ายเล็กน้อย แบ่งเป็น 4 ห้อง ห้องบน 2 ห้องและห้องล่าง 2 ห้อง ห้องบนซ้ายและขวารับเลือดแดงจากปอดและเลือดดำจากร่างกายตามลำดับ ส่วนห้องล่างซ้ายเปรียบเสมือนปั๊มน้ำสูบฉีดเลือดให้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และห้องล่างขวาสูบฉีดเลือดดำไปฟอกที่ปอด

หัวใจ ประกอบด้วยกล้ามเนื้อหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ ลิ้นหัวใจ ไฟฟ้าหัวใจ และเยื่อหุ้มหัวใจ โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงโรคหัวใจ มักหมายถึง “โรคหลอดเลือดหัวใจ” (atherosclerotic cardiovascular disease) ซึ่ง ในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เป็นสาเหตุของการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตอันดับต้น ๆของประชากรไทย โดยคิดเป็นประมาณร้อยละ 12 ของอัตราการเสียชีวิตทั้งหมด

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ

1. ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้

  • พันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจก่อนอายุ 55 ปีในเพศชาย และ 65 ปีในเพศหญิง
  • อายุ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น
  • เพศ ผู้ชายจะมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจสูงกว่าเพศหญิง โดยเฉพาะในวัยก่อนหมดประจำเดือน เพศหญิงหลังหมดประจำเดือนหรือรับประทานยาคุมกำเนิดจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูงขึ้น

2. ปัจจัยที่สามารถควบคุมหรือป้องกันได้

  • พฤติกรรมการบริโภคอาหารไขมันสูงและเค็ม
  • ภาวะอ้วน
  • ไขมันในเลือดสูง ผู้ที่มีระดับไขมันแอลดีแอล (LDL cholesterol) สูงจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
  • โรคความดันโลหิตสูง
  • โรคเบาหวาน เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรค ดังนั้นจึงมีความสำคัญที่จะต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์การรักษา
  • การขาดการออกกำลังกาย
  • การสูบบุหรี่
  • ความเครียด

สัญญาณเตือนของโรคหัวใจ

  • อาการเจ็บแน่นหน้าอก
  • บีบเค้นแน่นหน้าอกเหมือนมีของหนักกดทับ
  • เจ็บหน้าอกร้าวไปกราม ขากรรไกร คอ แขน ไหล่ หลัง
  • เจ็บหน้าอกร่วมกับเหงื่อออก ตัวเย็น ใจสั่น
  • เจ็บหน้าอกนานกว่า 20 นาที
  • เหนื่อยง่าย ความสามารถในการออกกำลังกายลดลง
  • มีภาวะน้ำท่วมปอด บวม หัวใจล้มเหลว
  • ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • เป็นลมหมดสติ

ปรับพฤติกรรมดูแลตัวเอง เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ

  • ควบคุมรักษาระดับไขมันในเลือด ความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ และอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง
  • รักษาระดับน้ำหนักตัวให้เหมาะสม
  • ออกกำลังกายให้เพียงพอ แนะนำให้ออกกำลังกายด้วยความเหนื่อยปานกลางอย่างน้อย 150-300 นาที/สัปดาห์ หรือออกกำลังกายหนักอย่างน้อย 75-150 นาที/สัปดาห์
  • งดสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงความเครียด

โรคหัวใจเป็นโรคที่เกิดได้กับทุกคน อัตราการเกิดโรคเพิ่มสูงขึ้นและพบในช่วงอายุที่ลดต่ำลงกว่าในอดีตมาก ซึ่งสอดคล้องไปกับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบ การรับประทานอาหารที่เป็นตะวันตกมากขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มสูงขึ้น การออกกำลังกายลดน้อยลง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดูแลตัวเอง สังเกตอาการผิดปกติที่เข้าข่ายอาการโรคหลอดเลือดหัวใจ และการตรวจสุขภาพ/ตรวจคัดกรองโรคหัวใจ จะช่วยให้สามารถป้องกันโรค วินิจฉัยโรคได้ในระยะต้นและให้การรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่ดี

ขอขอบคุณข้อมูลจาก นพ.เอก เพ็ชรดาชัย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์หัวใจ ชั้น 4 โซน C

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

 หัวใจ เป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย ทำหน้าที่สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และทำงานหนักตลอดเวลา หัวใจวางอยู่กึ่งกลางทรวงอกเยื้องไปข้างซ้ายเล็กน้อย แบ่งเป็น 4 ห้อง ห้องบน 2 ห้องและห้องล่าง 2 ห้อง ห้องบนซ้ายและขวารับเลือดแดงจากปอดและเลือดดำจากร่างกายตามลำดับ ส่วนห้องล่างซ้ายเปรียบเสมือนปั๊มน้ำสูบฉีดเลือดให้ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และห้องล่างขวาสูบฉีดเลือดดำไปฟอกที่ปอด

หัวใจ ประกอบด้วยกล้ามเนื้อหัวใจ หลอดเลือดหัวใจ ลิ้นหัวใจ ไฟฟ้าหัวใจ และเยื่อหุ้มหัวใจ โดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึงโรคหัวใจ มักหมายถึง “โรคหลอดเลือดหัวใจ” (atherosclerotic cardiovascular disease) ซึ่ง ในปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เป็นสาเหตุของการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลและการเสียชีวิตอันดับต้น ๆของประชากรไทย โดยคิดเป็นประมาณร้อยละ 12 ของอัตราการเสียชีวิตทั้งหมด

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

แบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ

1. ปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้

  • พันธุกรรม ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจก่อนอายุ 55 ปีในเพศชาย และ 65 ปีในเพศหญิง
  • อายุ ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นตามอายุที่เพิ่มมากขึ้น
  • เพศ ผู้ชายจะมีความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจสูงกว่าเพศหญิง โดยเฉพาะในวัยก่อนหมดประจำเดือน เพศหญิงหลังหมดประจำเดือนหรือรับประทานยาคุมกำเนิดจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสูงขึ้น

2. ปัจจัยที่สามารถควบคุมหรือป้องกันได้

  • พฤติกรรมการบริโภคอาหารไขมันสูงและเค็ม
  • ภาวะอ้วน
  • ไขมันในเลือดสูง ผู้ที่มีระดับไขมันแอลดีแอล (LDL cholesterol) สูงจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
  • โรคความดันโลหิตสูง
  • โรคเบาหวาน เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรค ดังนั้นจึงมีความสำคัญที่จะต้องควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์การรักษา
  • การขาดการออกกำลังกาย
  • การสูบบุหรี่
  • ความเครียด

สัญญาณเตือนของโรคหัวใจ

  • อาการเจ็บแน่นหน้าอก
  • บีบเค้นแน่นหน้าอกเหมือนมีของหนักกดทับ
  • เจ็บหน้าอกร้าวไปกราม ขากรรไกร คอ แขน ไหล่ หลัง
  • เจ็บหน้าอกร่วมกับเหงื่อออก ตัวเย็น ใจสั่น
  • เจ็บหน้าอกนานกว่า 20 นาที
  • เหนื่อยง่าย ความสามารถในการออกกำลังกายลดลง
  • มีภาวะน้ำท่วมปอด บวม หัวใจล้มเหลว
  • ใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • เป็นลมหมดสติ

ปรับพฤติกรรมดูแลตัวเอง เพื่อลดความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ

  • ควบคุมรักษาระดับไขมันในเลือด ความดันโลหิตและน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว ไขมันทรานส์ และอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง
  • รักษาระดับน้ำหนักตัวให้เหมาะสม
  • ออกกำลังกายให้เพียงพอ แนะนำให้ออกกำลังกายด้วยความเหนื่อยปานกลางอย่างน้อย 150-300 นาที/สัปดาห์ หรือออกกำลังกายหนักอย่างน้อย 75-150 นาที/สัปดาห์
  • งดสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงความเครียด

โรคหัวใจเป็นโรคที่เกิดได้กับทุกคน อัตราการเกิดโรคเพิ่มสูงขึ้นและพบในช่วงอายุที่ลดต่ำลงกว่าในอดีตมาก ซึ่งสอดคล้องไปกับพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่เร่งรีบ การรับประทานอาหารที่เป็นตะวันตกมากขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มสูงขึ้น การออกกำลังกายลดน้อยลง การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมดูแลตัวเอง สังเกตอาการผิดปกติที่เข้าข่ายอาการโรคหลอดเลือดหัวใจ และการตรวจสุขภาพ/ตรวจคัดกรองโรคหัวใจ จะช่วยให้สามารถป้องกันโรค วินิจฉัยโรคได้ในระยะต้นและให้การรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและผลลัพธ์ที่ดี

ขอขอบคุณข้อมูลจาก นพ.เอก เพ็ชรดาชัย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์หัวใจ ชั้น 4 โซน C

บทความที่เกี่ยวข้อง