
ผู้ชายต้องรู้! สัญญาณเตือนสุขภาพทางเดินปัสสาวะที่มองข้ามไม่ได้
ผู้ชายวัยทำงานและผู้สูงอายุมักละเลยสุขภาพของระบบทางเดินปัสสาวะจนกว่าจะเกิดปัญหา ทั้งที่ระบบทางเดินปัสสาวะมีบทบาทสำคัญในการกรองของเสียและขับปัสสาวะออกจากร่างกาย สุขภาพทางเดินปัสสาวะที่ดีช่วยให้การใช้ชีวิตประจำวันราบรื่นและส่งเสริมสุขภาพโดยรวม
นอกจากนี้ผู้ชายวัยทำงานก็อาจประสบปัญหาทางเดินปัสสาวะได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นนิ่วในไตหรือนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะที่พบในผู้ชายบ่อยกว่าผู้หญิง (เกือบ 11% ของผู้ชายเทียบกับ ~6% ของผู้หญิง) หรือการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่แม้พบน้อยในวัยหนุ่ม แต่พบได้มากขึ้นในวัยสูงอายุ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยของปัญหาระบบทางเดินปัสสาวะในผู้ชาย
ต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia - BPH)
ต่อมลูกหมากโตคือภาวะที่ต่อมลูกหมากมีขนาดขยายใหญ่ขึ้นตามวัย ส่งผลให้ท่อปัสสาวะที่อยู่ตรงกลางต่อมลูกหมากถูกบีบรัด ทำให้ปัสสาวะได้ลำบากขึ้น ภาวะนี้พบได้บ่อยในผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป
ปัจจัยเสี่ยงหลักคืออายุที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้อาจมีปัจจัยด้านพันธุกรรม โรคอ้วนที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของ BPH ต่อมลูกหมากโตทำให้เกิดอาการปัสสาวะผิดปกติได้ และบางครั้งอาการคล้ายคลึงกับมะเร็งต่อมลูกหมาก ผู้ชายสูงวัยจึงควรรับการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากตามคำแนะนำแพทย์เพื่อความปลอดภัย
นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
นิ่วเกิดจากการตกตะกอนของแร่ธาตุและเกลือในปัสสาวะจนก่อตัวเป็นก้อนแข็ง โดยมากเกิดจากปัสสาวะที่เข้มข้นเกินไปหรือตกค้างในทางเดินปัสสาวะนานเกินไป นิ่วสามารถเกิดได้ทั้งในไต ท่อไต และกระเพาะปัสสาวะ เพศชายมีโอกาสเป็นนิ่วสูงกว่าเพศหญิง
ปัจจัยเสี่ยงได้แก่การดื่มน้ำน้อย การรับประทานอาหารที่มีเกลือหรือโปรตีนสูง นอกจากนี้ภาวะที่ขัดขวางการไหลของปัสสาวะก็เป็นปัจจัยหนึ่ง เช่น ผู้ชายที่มีต่อมลูกหมากโตมักมีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ตกตะกอนเกิดเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้ง่าย
การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection - UTI)
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะมักมีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะ ผ่านท่อปัสสาวะเข้าไปสู่กระเพาะปัสสาวะ แล้วก่อให้เกิดการอักเสบติดเชื้อ ปัจจัยเสี่ยงคือ การกลั้นปัสสาวะนานหรือมีปัสสาวะค้างจากภาวะอุดกั้น เช่น ต่อมลูกหมากโตหรือท่อปัสสาวะตีบ ทำให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อ สุขอนามัยที่ไม่เหมาะสม ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อ UTI สูงขึ้นเนื่องจากเยื่อบุทางเดินปัสสาวะที่แห้งลงและภูมิคุ้มกันที่ลดลง นอกจากนี้โรคประจำตัวอย่างเบาหวานก็เพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เพราะทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลงและเบาหวานอาจทำให้ปลายประสาทเสื่อมจนการกลั้นปัสสาวะผิดปกติ แม้การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจะพบไม่บ่อยในผู้ชายวัยหนุ่ม-สาว แต่สามารถเกิดได้หากมีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวหรือมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การกลั้นปัสสาวะบ่อย ๆ หรือดื่มน้ำน้อย
ความเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะตามอายุ
เมื่ออายุมากขึ้น อวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะของผู้ชายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่ส่งผลต่อการทำงานโดยรวม ต่อมลูกหมากมักจะค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นตามวัย ซึ่งแม้จะไม่ก่อปัญหาในวัยหนุ่ม แต่เมื่อเข้าสู่วัยกลางคนและวัยสูงอายุ ต่อมลูกหมากที่โตขึ้นจะเริ่มส่งผลต่อการปัสสาวะอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผู้สูงอายุหลายรายมีภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (overactive bladder) ส่งผลให้ปวดปัสสาวะกะทันหันและต้องเข้าห้องน้ำบ่อย รวมถึงตื่นมาปัสสาวะกลางดึกบ่อยครั้ง (nocturia) โดยสรุป การเปลี่ยนแปลงตามวัยเหล่านี้ทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อปัญหาทางเดินปัสสาวะมากขึ้น
อาการผิดปกติที่ควรสังเกต ปัญหาของระบบทางเดินปัสสาวะในผู้ชายมักแสดงออกผ่านอาการผิดปกติหลายรูปแบบ ต่อไปนี้เป็นอาการสำคัญที่ควรเฝ้าระวัง
- ปัสสาวะขัดหรือแสบ: หมายถึงอาการเจ็บ แสบ หรือรู้สึกไม่สบายขณะปัสสาวะ สัญญาณนี้มักบ่งบอกถึงการอักเสบหรือติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ หากมีอาการปัสสาวะแสบขัดร่วมกับไข้หรือปวดหลัง ควรสงสัยการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและไปพบแพทย์
- ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่พุ่ง: ผู้ชายสูงวัยหลายคนพบว่าการเริ่มปัสสาวะทำได้ยาก ต้องรอนานหรือเบ่ง และปัสสาวะอ่อนลง (ฉี่ไม่พุ่งแรงเหมือนเดิม) รวมถึงรู้สึกปัสสาวะไม่สุด อาการเหล่านี้สัมพันธ์กับภาวะต่อมลูกหมากโตได้เช่นกัน
- ปัสสาวะบ่อยและกลั้นไม่อยู่: การปัสสาวะบ่อยผิดปกติ บ่งชี้ว่าระบบทางเดินปัสสาวะทำงานไม่ปกติ อาจเกิดจากต่อมลูกหมากโตที่ทำให้กระเพาะปัสสาวะจุได้น้อยลงหรือบีบตัวบ่อยขึ้น, ภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกินที่ทำให้ปวดปัสสาวะกะทันหันบ่อย ๆ ถ้ารู้สึกปวดปัสสาวะแล้วกลั้นไม่ค่อยได้หรือมีปัสสาวะเล็ดออกมาก่อนถึงห้องน้ำ แสดงถึงการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งพบได้ในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง
- ปัสสาวะเป็นเลือด: การพบเลือดปนในปัสสาวะ (สีชมพู แดง หรือออกน้ำตาลคล้ายชา) เป็นสัญญาณสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม อาจมีสาเหตุจากนิ่วขูดขีดทางเดินปัสสาวะจนเลือดออก การติดเชื้อรุนแรงในไตหรือกระเพาะปัสสาวะ หรือโรคร้ายแรงอย่างเนื้องอกหรือมะเร็งในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น มะเร็งกระเพาะปัสสาวะหรือมะเร็งไต ความเสี่ยงที่เลือดในปัสสาวะจะเป็นสัญญาณของมะเร็งสูงขึ้นในผู้ชายอายุเกิน 40 ปี ดังนั้นหากสังเกตเห็นปัสสาวะปนเลือด ไม่ว่าจะมีอาการอื่นหรือไม่ ควรรีบไปตรวจหาสาเหตุโดยแพทย์
แนวทางการดูแลและป้องกันปัญหาระบบทางเดินปัสสาวะ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ควรดื่มน้ำวันละประมาณ 6 - 8 แก้ว (1.5 - 2 ลิตร) เพื่อเจือจางปัสสาวะและช่วยขับของเสียออก ลดโอกาสการตกตะกอนเป็นนิ่วและช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อ
- ไม่กลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน: การอั้นปัสสาวะบ่อย ๆ หรือเป็นเวลานานสามารถทำให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ และเพิ่มความเสี่ยงที่จะปัสสาวะไม่ออกเมื่อถึงเวลาขับถ่าย ควรฝึกเข้าห้องน้ำให้สม่ำเสมอเมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะ
- รักษาน้ำหนักและออกกำลังกายประจำ: การออกกำลังกายสม่ำเสมอและรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ช่วยลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังอย่างเบาหวานและโรคหัวใจ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาทางเดินปัสสาวะและสมรรถภาพทางเพศใน การออกกำลังกายยังช่วยปรับปรุงการไหลเวียนโลหิตและเสริมสร้างกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงขึ้น ลดโอกาสการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ สำหรับผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ดได้
- ดูแลสุขอนามัยและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง: รักษาความสะอาดของอวัยวะเพศและบริเวณใกล้เคียงเพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย สวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่รัดแน่นและระบายอากาศได้ดีเพื่อลดความอับชื้น
- ตรวจสุขภาพประจำปีและพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ: ผู้ชายวัยกลางคนขึ้นไปควรรับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการตรวจปัสสาวะและตรวจเลือดเพื่อประเมินการทำงานของไตและระดับน้ำตาล สำหรับผู้ชายอายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก (เช่น การตรวจค่า PSA ในเลือดหรือการตรวจต่อมลูกหมากทางทวารหนัก) โดยเฉพาะหากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก การตรวจพบความผิดปกติแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้รักษาได้ทันท่วงทีและป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง นอกจากนี้หากมีอาการทางเดินปัสสาวะที่ผิดปกติ เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะไม่ออก หรือปวดรุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
สุขภาพของระบบทางเดินปัสสาวะมีความเกี่ยวพันกับสุขภาพโดยรวมของผู้ชายอย่างใกล้ชิด หลายปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดปัญหาทางเดินปัสสาวะ เช่น การดื่มน้ำน้อย โภชนาการที่ไม่เหมาะสม โรคอ้วน หรือโรคเรื้อรัง (เบาหวาน ความดันโลหิตสูง) ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินปัสสาวะและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ด้วย ดังนั้นการปรับวิถีชีวิตเพื่อป้องกันโรคทางเดินปัสสาวะ จึงส่งผลดีต่อสุขภาพกายโดยรวมและลดความเสี่ยงไปพร้อมกัน การใส่ใจดูแลสุขภาพทางเดินปัสสาวะตั้งแต่เนิ่น ๆ และสม่ำเสมอ จึงเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพองค์รวมที่ผู้ชายทุกวัยควรปฏิบัติ
ขอบคุณข้อมูลจาก: รศ. นพ. สิทธิพร ศรีนวลนัด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ทางเดินปัสสาวะ ชั้น 4 โซน A
ผู้ชายวัยทำงานและผู้สูงอายุมักละเลยสุขภาพของระบบทางเดินปัสสาวะจนกว่าจะเกิดปัญหา ทั้งที่ระบบทางเดินปัสสาวะมีบทบาทสำคัญในการกรองของเสียและขับปัสสาวะออกจากร่างกาย สุขภาพทางเดินปัสสาวะที่ดีช่วยให้การใช้ชีวิตประจำวันราบรื่นและส่งเสริมสุขภาพโดยรวม
นอกจากนี้ผู้ชายวัยทำงานก็อาจประสบปัญหาทางเดินปัสสาวะได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นนิ่วในไตหรือนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะที่พบในผู้ชายบ่อยกว่าผู้หญิง (เกือบ 11% ของผู้ชายเทียบกับ ~6% ของผู้หญิง) หรือการติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะที่แม้พบน้อยในวัยหนุ่ม แต่พบได้มากขึ้นในวัยสูงอายุ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยของปัญหาระบบทางเดินปัสสาวะในผู้ชาย
ต่อมลูกหมากโต (Benign Prostatic Hyperplasia - BPH)
ต่อมลูกหมากโตคือภาวะที่ต่อมลูกหมากมีขนาดขยายใหญ่ขึ้นตามวัย ส่งผลให้ท่อปัสสาวะที่อยู่ตรงกลางต่อมลูกหมากถูกบีบรัด ทำให้ปัสสาวะได้ลำบากขึ้น ภาวะนี้พบได้บ่อยในผู้ชายอายุ 50 ปีขึ้นไป
ปัจจัยเสี่ยงหลักคืออายุที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้อาจมีปัจจัยด้านพันธุกรรม โรคอ้วนที่อาจเพิ่มความเสี่ยงของ BPH ต่อมลูกหมากโตทำให้เกิดอาการปัสสาวะผิดปกติได้ และบางครั้งอาการคล้ายคลึงกับมะเร็งต่อมลูกหมาก ผู้ชายสูงวัยจึงควรรับการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากตามคำแนะนำแพทย์เพื่อความปลอดภัย
นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
นิ่วเกิดจากการตกตะกอนของแร่ธาตุและเกลือในปัสสาวะจนก่อตัวเป็นก้อนแข็ง โดยมากเกิดจากปัสสาวะที่เข้มข้นเกินไปหรือตกค้างในทางเดินปัสสาวะนานเกินไป นิ่วสามารถเกิดได้ทั้งในไต ท่อไต และกระเพาะปัสสาวะ เพศชายมีโอกาสเป็นนิ่วสูงกว่าเพศหญิง
ปัจจัยเสี่ยงได้แก่การดื่มน้ำน้อย การรับประทานอาหารที่มีเกลือหรือโปรตีนสูง นอกจากนี้ภาวะที่ขัดขวางการไหลของปัสสาวะก็เป็นปัจจัยหนึ่ง เช่น ผู้ชายที่มีต่อมลูกหมากโตมักมีปัสสาวะค้างในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ตกตะกอนเกิดเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะได้ง่าย
การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (Urinary Tract Infection - UTI)
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะมักมีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ทางเดินปัสสาวะ ผ่านท่อปัสสาวะเข้าไปสู่กระเพาะปัสสาวะ แล้วก่อให้เกิดการอักเสบติดเชื้อ ปัจจัยเสี่ยงคือ การกลั้นปัสสาวะนานหรือมีปัสสาวะค้างจากภาวะอุดกั้น เช่น ต่อมลูกหมากโตหรือท่อปัสสาวะตีบ ทำให้เป็นแหล่งสะสมเชื้อ สุขอนามัยที่ไม่เหมาะสม ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อ UTI สูงขึ้นเนื่องจากเยื่อบุทางเดินปัสสาวะที่แห้งลงและภูมิคุ้มกันที่ลดลง นอกจากนี้โรคประจำตัวอย่างเบาหวานก็เพิ่มความเสี่ยงติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ เพราะทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลงและเบาหวานอาจทำให้ปลายประสาทเสื่อมจนการกลั้นปัสสาวะผิดปกติ แม้การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจะพบไม่บ่อยในผู้ชายวัยหนุ่ม-สาว แต่สามารถเกิดได้หากมีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวหรือมีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การกลั้นปัสสาวะบ่อย ๆ หรือดื่มน้ำน้อย
ความเปลี่ยนแปลงของระบบทางเดินปัสสาวะตามอายุ
เมื่ออายุมากขึ้น อวัยวะในระบบทางเดินปัสสาวะของผู้ชายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างที่ส่งผลต่อการทำงานโดยรวม ต่อมลูกหมากมักจะค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นตามวัย ซึ่งแม้จะไม่ก่อปัญหาในวัยหนุ่ม แต่เมื่อเข้าสู่วัยกลางคนและวัยสูงอายุ ต่อมลูกหมากที่โตขึ้นจะเริ่มส่งผลต่อการปัสสาวะอย่างเลี่ยงไม่ได้ ผู้สูงอายุหลายรายมีภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (overactive bladder) ส่งผลให้ปวดปัสสาวะกะทันหันและต้องเข้าห้องน้ำบ่อย รวมถึงตื่นมาปัสสาวะกลางดึกบ่อยครั้ง (nocturia) โดยสรุป การเปลี่ยนแปลงตามวัยเหล่านี้ทำให้ผู้สูงอายุมีความเสี่ยงต่อปัญหาทางเดินปัสสาวะมากขึ้น
อาการผิดปกติที่ควรสังเกต ปัญหาของระบบทางเดินปัสสาวะในผู้ชายมักแสดงออกผ่านอาการผิดปกติหลายรูปแบบ ต่อไปนี้เป็นอาการสำคัญที่ควรเฝ้าระวัง
- ปัสสาวะขัดหรือแสบ: หมายถึงอาการเจ็บ แสบ หรือรู้สึกไม่สบายขณะปัสสาวะ สัญญาณนี้มักบ่งบอกถึงการอักเสบหรือติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ หากมีอาการปัสสาวะแสบขัดร่วมกับไข้หรือปวดหลัง ควรสงสัยการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะและไปพบแพทย์
- ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะไม่พุ่ง: ผู้ชายสูงวัยหลายคนพบว่าการเริ่มปัสสาวะทำได้ยาก ต้องรอนานหรือเบ่ง และปัสสาวะอ่อนลง (ฉี่ไม่พุ่งแรงเหมือนเดิม) รวมถึงรู้สึกปัสสาวะไม่สุด อาการเหล่านี้สัมพันธ์กับภาวะต่อมลูกหมากโตได้เช่นกัน
- ปัสสาวะบ่อยและกลั้นไม่อยู่: การปัสสาวะบ่อยผิดปกติ บ่งชี้ว่าระบบทางเดินปัสสาวะทำงานไม่ปกติ อาจเกิดจากต่อมลูกหมากโตที่ทำให้กระเพาะปัสสาวะจุได้น้อยลงหรือบีบตัวบ่อยขึ้น, ภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกินที่ทำให้ปวดปัสสาวะกะทันหันบ่อย ๆ ถ้ารู้สึกปวดปัสสาวะแล้วกลั้นไม่ค่อยได้หรือมีปัสสาวะเล็ดออกมาก่อนถึงห้องน้ำ แสดงถึงการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ ซึ่งพบได้ในผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีปัญหากล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานอ่อนแรง
- ปัสสาวะเป็นเลือด: การพบเลือดปนในปัสสาวะ (สีชมพู แดง หรือออกน้ำตาลคล้ายชา) เป็นสัญญาณสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม อาจมีสาเหตุจากนิ่วขูดขีดทางเดินปัสสาวะจนเลือดออก การติดเชื้อรุนแรงในไตหรือกระเพาะปัสสาวะ หรือโรคร้ายแรงอย่างเนื้องอกหรือมะเร็งในระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น มะเร็งกระเพาะปัสสาวะหรือมะเร็งไต ความเสี่ยงที่เลือดในปัสสาวะจะเป็นสัญญาณของมะเร็งสูงขึ้นในผู้ชายอายุเกิน 40 ปี ดังนั้นหากสังเกตเห็นปัสสาวะปนเลือด ไม่ว่าจะมีอาการอื่นหรือไม่ ควรรีบไปตรวจหาสาเหตุโดยแพทย์
แนวทางการดูแลและป้องกันปัญหาระบบทางเดินปัสสาวะ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ควรดื่มน้ำวันละประมาณ 6 - 8 แก้ว (1.5 - 2 ลิตร) เพื่อเจือจางปัสสาวะและช่วยขับของเสียออก ลดโอกาสการตกตะกอนเป็นนิ่วและช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อ
- ไม่กลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน: การอั้นปัสสาวะบ่อย ๆ หรือเป็นเวลานานสามารถทำให้กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ และเพิ่มความเสี่ยงที่จะปัสสาวะไม่ออกเมื่อถึงเวลาขับถ่าย ควรฝึกเข้าห้องน้ำให้สม่ำเสมอเมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะ
- รักษาน้ำหนักและออกกำลังกายประจำ: การออกกำลังกายสม่ำเสมอและรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ช่วยลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังอย่างเบาหวานและโรคหัวใจ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาทางเดินปัสสาวะและสมรรถภาพทางเพศใน การออกกำลังกายยังช่วยปรับปรุงการไหลเวียนโลหิตและเสริมสร้างกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานให้แข็งแรงขึ้น ลดโอกาสการกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ สำหรับผู้ที่มีปัญหาปัสสาวะเล็ดได้
- ดูแลสุขอนามัยและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง: รักษาความสะอาดของอวัยวะเพศและบริเวณใกล้เคียงเพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย สวมใส่เสื้อผ้าที่ไม่รัดแน่นและระบายอากาศได้ดีเพื่อลดความอับชื้น
- ตรวจสุขภาพประจำปีและพบแพทย์เมื่อมีอาการผิดปกติ: ผู้ชายวัยกลางคนขึ้นไปควรรับการตรวจสุขภาพประจำปีอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการตรวจปัสสาวะและตรวจเลือดเพื่อประเมินการทำงานของไตและระดับน้ำตาล สำหรับผู้ชายอายุประมาณ 50 ปีขึ้นไป ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก (เช่น การตรวจค่า PSA ในเลือดหรือการตรวจต่อมลูกหมากทางทวารหนัก) โดยเฉพาะหากมีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก การตรวจพบความผิดปกติแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้รักษาได้ทันท่วงทีและป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรง นอกจากนี้หากมีอาการทางเดินปัสสาวะที่ผิดปกติ เช่น ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะไม่ออก หรือปวดรุนแรง ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง
สุขภาพของระบบทางเดินปัสสาวะมีความเกี่ยวพันกับสุขภาพโดยรวมของผู้ชายอย่างใกล้ชิด หลายปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดปัญหาทางเดินปัสสาวะ เช่น การดื่มน้ำน้อย โภชนาการที่ไม่เหมาะสม โรคอ้วน หรือโรคเรื้อรัง (เบาหวาน ความดันโลหิตสูง) ล้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคระบบทางเดินปัสสาวะและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ด้วย ดังนั้นการปรับวิถีชีวิตเพื่อป้องกันโรคทางเดินปัสสาวะ จึงส่งผลดีต่อสุขภาพกายโดยรวมและลดความเสี่ยงไปพร้อมกัน การใส่ใจดูแลสุขภาพทางเดินปัสสาวะตั้งแต่เนิ่น ๆ และสม่ำเสมอ จึงเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพองค์รวมที่ผู้ชายทุกวัยควรปฏิบัติ
ขอบคุณข้อมูลจาก: รศ. นพ. สิทธิพร ศรีนวลนัด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ทางเดินปัสสาวะ ชั้น 4 โซน A