
มะเร็งหลอดอาหาร โรคร้ายที่ไม่ควรมองข้าม
มะเร็งหลอดอาหารคืออะไร?
มะเร็งหลอดอาหาร เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 8 ของโลก โดยองค์กรอนามัยโลกรายงานผู้ป่วยใหม่สูงถึง 604,000 คนต่อปี และเสียชีวิต 544,000 คนต่อปี ในปี ค.ศ.2022 ในประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยใหม่ 3,333 คนต่อปี และเสียชีวิต 3,097 คนต่อปี ในปี ค.ศ. 2022 พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงประมาณ 3 เท่า และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในทุกปี โดยเกือบทั้งหมดได้รับการตรวจวินิจฉัยเมื่อมีอาการซึ่งสัมพันธ์และบ่งชี้ถึงระยะของมะเร็งที่ลุกลาม ทำให้อัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง แต่ถ้าได้รับการตรวจคัดกรองและพบมะเร็งหลอดอาหารตั้งแต่ระยะแรกอัตราการเสียชีวิตลดลง ผลแทรกซ้อนจากการรักษาน้อย และหวังผลหายขาด
ชนิดของมะเร็งหลอดอาหาร แบ่งเป็น 2 ชนิดตามพยาธิวิทยา
- มะเร็งหลอดอาหารชนิด squamous cell carcinoma (SCC) พบได้ร้อยละ 80 ของมะเร็งหลอดอาหารทั้งหมด พบมากประเทศแถบเอเชีย แอฟริกาใต้ และอเมริกาใต้ ปัจจัยเสี่ยงหลักคือ การสูบบุหรี่และดื่มสุราเป็นประจำ ปัจจัยรองที่มีรายงาน เช่น การได้รับสาร acetaldehyde กินหมากพลู สัมผัสสารรังสีเอกซ์และแกมมา กินเครื่องดื่มร้อนจัด เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีโรคบางอย่างเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งหลอดอาหารชนิด SCC เช่น ภาวะ achalasia มีประวัติเป็นมะเร็งบริเวณศีรษะและลำคอชนิด SCC เคยมีประวัติกลืนกรดหรือด่างมาก่อน
- มะเร็งหลอดอาหารชนิด adenocarcinoma พบมากในสหร้ฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ยุโรปตะวันตก ปัจจัยเสี่ยงที่มีรายงาน ได้แก่ ภาวะกรดไหลย้อนเรื้อรัง ภาวะอ้วนลงพุง การสูบบุหรี่ และภาวะ Barrett’s esophagus
อาการของมะเร็งหลอดอาหารที่ควรสังเกต
อาการที่พบได้บ่อยของโรคมะเร็งหลอดอาหาร ได้แก่ กลืนติด กลืนลำบาก กลืนเจ็บ โดยเฉพาะอาหารที่เป็นของแข็ง เช่น เนื้อสัตว์ ขนมปัง ข้าวเหนียว มีอาการแน่น เจ็บหรือแสบกลางหน้าอก คลื่นไส้อาเจียน ขย้อน สำลักอาหาร ไอเรื้อรัง เสียงแหบ น้ำหนักลดเนื่องจากรับประทานอาหารได้น้อย ถ้าเป็นมากอาจมีอาการเลือดออกในทางเดินอาหาร ถ่ายดำ อาเจียนเป็นเลือด โลหิตจาง เหนื่อยเพลีย หากแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองอาจคลำก้อนได้ที่คอหรือไหปลาร้า มะเร็งสามารถลุกลามไปยังอวัยวะอื่นได้ เช่น ปอด ตับ หรือกระดูก ทำให้มีอาการแสดงของอวัยวะนั้น ๆ
วิธีการตรวจวินิจฉัยมะเร็งหลอดอาหาร
การตรวจวินิจฉัยโรคสามารถทำได้หลายวิธี
- การกลืนแป้งแบเรียม (Barium swallow) ผู้ป่วยจะกลืนสารทึบรังสีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า แป้งแบเรียม ซึ่งจะเคลือบผนังหลอดอาหาร จากนั้นจึงทำการเอกซเรย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติของหลอดอาหาร โรคมะเร็งหลอดอาหาร และภาวะแทรกซ้อน
- การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) และ positron emission tomography (PET scan) ใช้เพื่อประเมินตำแหน่งของก้อนมะเร็งและการลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง โดยสามารถให้ภาพที่ละเอียดและเป็นภาพสามมิติ ช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้แม่นยำยิ่งขึ้น
- การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น (Esophagogastroduodenoscopy) เป็นการส่องกล้องผ่านทางปากเพื่อตรวจดูภายในหลอดอาหารอย่างละเอียด หากพบรอยโรคหรือความผิดปกติ แพทย์จะเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อเพื่อนำไปตรวจทางพยาธิวิทยา รวมถึงการใช้ chromoendoscopy, endoscopic ultrasound (EUS) ประเมินขนาดและระยะของโรค
แนวทางการรักษามะเร็งหลอดอาหาร
แพทย์จะเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วยตามระยะของโรค และสภาพร่างกายของคนไข้ ดังนี้
- การส่องกล้องทางเดินอาหารเพื่อตัดรอยโรค (endoscopic submucosal dissection) ในคนไข้ที่เป็นมะเร็งหลอดอาหารระยะเริ่มต้น หรือภาวะก่อนเป็นมะเร็ง (precancerous lesion) ซึ่งมักเป็นผู้ป่วยที่ไม่มีอาการมาตรวจส่องกล้องคัดกรองมะเร็งหรือตรวจส่องกล้องด้วยสาเหตุอื่น
- การผ่าตัด เป็นการรักษาสำหรับมะเร็งหลอดอาหารในระยะเริ่มต้นและอยู่ในตำแหน่งที่ผ่าตัดได้เพื่อหวังผลหายขาด โดยอาจผ่าตัดอย่างเดียวหรือร่วมกับหลังการให้เคมีบำบัดและรังสีรักษา หรือจะเป็นการผ่าตัดเพื่อใส่สายอาหารในคนไข้รักษาประคับประคอง
- ยาเคมีบำบัด อาจใช้ก่อนผ่าตัดเพื่อลดขนาดมะเร็งหรือหลังการผ่าตัด สามารถใช้รักษาร่วมกับการฉายแสง หรืออาจรักษาด้วยเคมีบำบัดอย่างเดียว ในคนไข้เป็นมะเร็งระยะลุกลามที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด
- รังสีรักษา เป็นการรักษาด้วยรังสีพลังงานสูง โดยสามารถใช้รังสีรักษาอย่างเดียวหรือร่วมกับเคมีบำบัดหรือร่วมกับเคมีบำบัดและผ่าตัด เพื่อควบคุมโรคมะเร็งหรือรักษาประคับประคอง
การตรวจคัดกรองมะเร็ง
ยังไม่มีคำแนะนำการตรวจคัดกรองในคนทั่วไป เพราะอุบัติการณ์มะเร็งหลอดอาหารต่ำ แต่แนะนำตรวจคัดกรองในคนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น คนไข้ที่มี ภาวะ Barrett’s esophagus ภาวะ achalasia มีประวัติเป็นมะเร็งบริเวณศีรษะและลำคอชนิด SCC มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งหลอดอาหาร หรือเป็นกรดไหลย้อนเรื้อรัง (มากกว่า 5 ปี) และมีประวัติเสี่ยงต่อไปนี้ อายุมากกว่า 50 ปี ผู้ชาย อ้วน (BMI>30) สูบบุหรี่ หรือมีประวัติครอบครัวเป็น barrett’s esophagus หรือมะเร็งหลอดอาหาร
พฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยง “มะเร็งหลอดอาหาร”
1. ปล่อยโรคกรดไหลย้อนทิ้งไว้ไม่รักษา ภาวะกรดไหลย้อนเรื้อรังทำให้เยื่อบุหลอดอาหารเกิดการอักเสบ และหากปล่อยไว้นานอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์จากแบบปกติไปเป็นเซลล์ที่ผิดปกติแบบ Barrett’s esophagus ซึ่งเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้สูงถึง 30–60 เท่า ผู้ป่วยมักเริ่มมีอาการแน่นท้อง เรอเปรี้ยว หรือขมคอ และหากไม่รักษา อาการจะลุกลามไปถึงขั้นกลืนอาหารลำบาก เบื่ออาหาร และน้ำหนักลด
2. สูบบุหรี่ บุหรี่เป็นแหล่งรวมสารก่อมะเร็งที่สามารถทำลายเยื่อบุทางเดินอาหารโดยตรง ส่งผลให้เซลล์บริเวณหลอดอาหารเปลี่ยนแปลงและกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด
3. ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ แอลกอฮอล์ไม่เพียงเป็นพิษต่อตับ แต่ยังเป็นพิษต่อเยื่อบุหลอดอาหาร ส่งผลให้เซลล์เสื่อมสภาพและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง ทั้งยังเสริมฤทธิ์กับสารก่อมะเร็งจากบุหรี่ทำให้เสี่ยงมากยิ่งขึ้น
ตรวจบทความโดย: นพ.สหรัฐ จารุพงศ์ประภา
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ชั้น 4 โซน A
บทความที่เกี่ยวข้อง
มะเร็งหลอดอาหารคืออะไร?
มะเร็งหลอดอาหาร เป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 8 ของโลก โดยองค์กรอนามัยโลกรายงานผู้ป่วยใหม่สูงถึง 604,000 คนต่อปี และเสียชีวิต 544,000 คนต่อปี ในปี ค.ศ.2022 ในประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยใหม่ 3,333 คนต่อปี และเสียชีวิต 3,097 คนต่อปี ในปี ค.ศ. 2022 พบในเพศชายมากกว่าเพศหญิงประมาณ 3 เท่า และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในทุกปี โดยเกือบทั้งหมดได้รับการตรวจวินิจฉัยเมื่อมีอาการซึ่งสัมพันธ์และบ่งชี้ถึงระยะของมะเร็งที่ลุกลาม ทำให้อัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง แต่ถ้าได้รับการตรวจคัดกรองและพบมะเร็งหลอดอาหารตั้งแต่ระยะแรกอัตราการเสียชีวิตลดลง ผลแทรกซ้อนจากการรักษาน้อย และหวังผลหายขาด
ชนิดของมะเร็งหลอดอาหาร แบ่งเป็น 2 ชนิดตามพยาธิวิทยา
- มะเร็งหลอดอาหารชนิด squamous cell carcinoma (SCC) พบได้ร้อยละ 80 ของมะเร็งหลอดอาหารทั้งหมด พบมากประเทศแถบเอเชีย แอฟริกาใต้ และอเมริกาใต้ ปัจจัยเสี่ยงหลักคือ การสูบบุหรี่และดื่มสุราเป็นประจำ ปัจจัยรองที่มีรายงาน เช่น การได้รับสาร acetaldehyde กินหมากพลู สัมผัสสารรังสีเอกซ์และแกมมา กินเครื่องดื่มร้อนจัด เป็นต้น นอกจากนั้นยังมีโรคบางอย่างเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งหลอดอาหารชนิด SCC เช่น ภาวะ achalasia มีประวัติเป็นมะเร็งบริเวณศีรษะและลำคอชนิด SCC เคยมีประวัติกลืนกรดหรือด่างมาก่อน
- มะเร็งหลอดอาหารชนิด adenocarcinoma พบมากในสหร้ฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ยุโรปตะวันตก ปัจจัยเสี่ยงที่มีรายงาน ได้แก่ ภาวะกรดไหลย้อนเรื้อรัง ภาวะอ้วนลงพุง การสูบบุหรี่ และภาวะ Barrett’s esophagus
อาการของมะเร็งหลอดอาหารที่ควรสังเกต
อาการที่พบได้บ่อยของโรคมะเร็งหลอดอาหาร ได้แก่ กลืนติด กลืนลำบาก กลืนเจ็บ โดยเฉพาะอาหารที่เป็นของแข็ง เช่น เนื้อสัตว์ ขนมปัง ข้าวเหนียว มีอาการแน่น เจ็บหรือแสบกลางหน้าอก คลื่นไส้อาเจียน ขย้อน สำลักอาหาร ไอเรื้อรัง เสียงแหบ น้ำหนักลดเนื่องจากรับประทานอาหารได้น้อย ถ้าเป็นมากอาจมีอาการเลือดออกในทางเดินอาหาร ถ่ายดำ อาเจียนเป็นเลือด โลหิตจาง เหนื่อยเพลีย หากแพร่กระจายไปต่อมน้ำเหลืองอาจคลำก้อนได้ที่คอหรือไหปลาร้า มะเร็งสามารถลุกลามไปยังอวัยวะอื่นได้ เช่น ปอด ตับ หรือกระดูก ทำให้มีอาการแสดงของอวัยวะนั้น ๆ
วิธีการตรวจวินิจฉัยมะเร็งหลอดอาหาร
การตรวจวินิจฉัยโรคสามารถทำได้หลายวิธี
- การกลืนแป้งแบเรียม (Barium swallow) ผู้ป่วยจะกลืนสารทึบรังสีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า แป้งแบเรียม ซึ่งจะเคลือบผนังหลอดอาหาร จากนั้นจึงทำการเอกซเรย์เพื่อตรวจหาความผิดปกติของหลอดอาหาร โรคมะเร็งหลอดอาหาร และภาวะแทรกซ้อน
- การเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT scan) และ positron emission tomography (PET scan) ใช้เพื่อประเมินตำแหน่งของก้อนมะเร็งและการลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียง โดยสามารถให้ภาพที่ละเอียดและเป็นภาพสามมิติ ช่วยให้แพทย์วางแผนการรักษาได้แม่นยำยิ่งขึ้น
- การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น (Esophagogastroduodenoscopy) เป็นการส่องกล้องผ่านทางปากเพื่อตรวจดูภายในหลอดอาหารอย่างละเอียด หากพบรอยโรคหรือความผิดปกติ แพทย์จะเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อเพื่อนำไปตรวจทางพยาธิวิทยา รวมถึงการใช้ chromoendoscopy, endoscopic ultrasound (EUS) ประเมินขนาดและระยะของโรค
แนวทางการรักษามะเร็งหลอดอาหาร
แพทย์จะเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมให้กับผู้ป่วยตามระยะของโรค และสภาพร่างกายของคนไข้ ดังนี้
- การส่องกล้องทางเดินอาหารเพื่อตัดรอยโรค (endoscopic submucosal dissection) ในคนไข้ที่เป็นมะเร็งหลอดอาหารระยะเริ่มต้น หรือภาวะก่อนเป็นมะเร็ง (precancerous lesion) ซึ่งมักเป็นผู้ป่วยที่ไม่มีอาการมาตรวจส่องกล้องคัดกรองมะเร็งหรือตรวจส่องกล้องด้วยสาเหตุอื่น
- การผ่าตัด เป็นการรักษาสำหรับมะเร็งหลอดอาหารในระยะเริ่มต้นและอยู่ในตำแหน่งที่ผ่าตัดได้เพื่อหวังผลหายขาด โดยอาจผ่าตัดอย่างเดียวหรือร่วมกับหลังการให้เคมีบำบัดและรังสีรักษา หรือจะเป็นการผ่าตัดเพื่อใส่สายอาหารในคนไข้รักษาประคับประคอง
- ยาเคมีบำบัด อาจใช้ก่อนผ่าตัดเพื่อลดขนาดมะเร็งหรือหลังการผ่าตัด สามารถใช้รักษาร่วมกับการฉายแสง หรืออาจรักษาด้วยเคมีบำบัดอย่างเดียว ในคนไข้เป็นมะเร็งระยะลุกลามที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด
- รังสีรักษา เป็นการรักษาด้วยรังสีพลังงานสูง โดยสามารถใช้รังสีรักษาอย่างเดียวหรือร่วมกับเคมีบำบัดหรือร่วมกับเคมีบำบัดและผ่าตัด เพื่อควบคุมโรคมะเร็งหรือรักษาประคับประคอง
การตรวจคัดกรองมะเร็ง
ยังไม่มีคำแนะนำการตรวจคัดกรองในคนทั่วไป เพราะอุบัติการณ์มะเร็งหลอดอาหารต่ำ แต่แนะนำตรวจคัดกรองในคนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น คนไข้ที่มี ภาวะ Barrett’s esophagus ภาวะ achalasia มีประวัติเป็นมะเร็งบริเวณศีรษะและลำคอชนิด SCC มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งหลอดอาหาร หรือเป็นกรดไหลย้อนเรื้อรัง (มากกว่า 5 ปี) และมีประวัติเสี่ยงต่อไปนี้ อายุมากกว่า 50 ปี ผู้ชาย อ้วน (BMI>30) สูบบุหรี่ หรือมีประวัติครอบครัวเป็น barrett’s esophagus หรือมะเร็งหลอดอาหาร
พฤติกรรมที่เพิ่มความเสี่ยง “มะเร็งหลอดอาหาร”
1. ปล่อยโรคกรดไหลย้อนทิ้งไว้ไม่รักษา ภาวะกรดไหลย้อนเรื้อรังทำให้เยื่อบุหลอดอาหารเกิดการอักเสบ และหากปล่อยไว้นานอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์จากแบบปกติไปเป็นเซลล์ที่ผิดปกติแบบ Barrett’s esophagus ซึ่งเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้สูงถึง 30–60 เท่า ผู้ป่วยมักเริ่มมีอาการแน่นท้อง เรอเปรี้ยว หรือขมคอ และหากไม่รักษา อาการจะลุกลามไปถึงขั้นกลืนอาหารลำบาก เบื่ออาหาร และน้ำหนักลด
2. สูบบุหรี่ บุหรี่เป็นแหล่งรวมสารก่อมะเร็งที่สามารถทำลายเยื่อบุทางเดินอาหารโดยตรง ส่งผลให้เซลล์บริเวณหลอดอาหารเปลี่ยนแปลงและกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด
3. ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ แอลกอฮอล์ไม่เพียงเป็นพิษต่อตับ แต่ยังเป็นพิษต่อเยื่อบุหลอดอาหาร ส่งผลให้เซลล์เสื่อมสภาพและเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง ทั้งยังเสริมฤทธิ์กับสารก่อมะเร็งจากบุหรี่ทำให้เสี่ยงมากยิ่งขึ้น
ตรวจบทความโดย: นพ.สหรัฐ จารุพงศ์ประภา
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ชั้น 4 โซน A
บทความที่เกี่ยวข้อง