มะเร็งกระเพาะอาหารไม่ใช่เรื่องไกลตัว รู้ทันสาเหตุและวิธีป้องกัน

มะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นโรคมะเร็งที่พบได้ไม่บ่อยเมื่อเปรียบเทียบกับมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับ เป็นต้น อย่างไรก็ตามสถิติการเสียชีวิตกลับสูงผิดคาด โดยพบว่าเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็งอันดับ 3 ในผู้ชาย และอันดับ 5 ในผู้หญิง จุดที่ทำให้โรคนี้อันตรายคืออาการในระยะแรกมักไม่เด่นชัด มักคล้ายโรคกระเพาะทั่วไป เช่น ท้องอืด จุก แน่นท้อง ส่งผลให้หลายคนมองข้ามและไม่ได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ต้น เมื่อถึงเวลาที่ตรวจพบโรคมักเข้าสู่ระยะลุกลามทำให้รักษาได้ยากขึ้น

แม้มะเร็งกระเพาะอาหารจะไม่ติดอันดับต้น ๆ ของโรคมะเร็งที่พบบ่อยในประเทศไทย แต่ก็ถือเป็นภัยสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม จากรายงานปี 2022 พบว่ามีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 4,000 รายต่อปี คิดเป็นราว 2.2% ของผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด และมีผู้เสียชีวิตประมาณ 3,000 รายต่อปี ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยกลางคนขึ้นไป แต่ก็สามารถพบได้ในคนอายุน้อยโดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง การหมั่นตรวจสุขภาพและตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงของโรคนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งกระเพาะอาหาร

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะอาหาร

มะเร็งกระเพาะอาหารเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหารจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างสามารถกระตุ้นหรือเพิ่มโอกาสให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้

  • การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori (H. pylori) ถือเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งกระเพาะอาหาร โดยการติดเชื้อเรื้อรังจะก่อให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหารแบบเรื้อรัง และความผิดปกติของเยื่อบุกระเพาะ นำไปสู่การเกิดแผลและการเปลี่ยนแปลงก่อนเป็นมะเร็งได้ในระยะยาว ผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารมักตรวจพบการติดเชื้อ H. pylori ในอัตราที่สูงกว่าคนทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ

  • อาหารแปรรูปและอาหารถนอมด้วยเกลือ พฤติกรรมการกินมีบทบาทอย่างมากต่อความเสี่ยงของโรคนี้ การรับประทานอาหารที่ผ่านการถนอมด้วยเกลือในปริมาณมาก เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ผักดอง รวมถึงอาหารรมควันหรือปิ้งย่างจนไหม้ เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหาร สารไนโตรซามีนและสารก่อมะเร็งที่เกิดขึ้นในกระบวนการถนอมอาหารและปิ้งย่างอาจทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารเมื่อบริโภคเป็นประจำ

  • การรับประทานผักและผลไม้น้อย ผู้ที่ทานผักสดและผลไม้น้อยมีแนวโน้มว่าจะขาดสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารที่ช่วยปกป้องเซลล์เยื่อบุกระเพาะ อาจส่งผลให้ความเสี่ยงมะเร็งเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน การบริโภคผักผลไม้สดหลากหลาย โดยเฉพาะผลไม้ตระกูลส้มที่มีวิตามินซีสูง มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะอาหาร

  • การสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารเพิ่มสูงขึ้น ผู้สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารประมาณ 2 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ไม่สูบ สารพิษจากบุหรี่ที่ถูกกลืนลงกระเพาะจะระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะและส่งเสริมการกลายพันธุ์ของเซลล์

  • การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและต่อเนื่องสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของมะเร็งกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มหนัก แอลกอฮอล์สามารถทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและตับ ซึ่งมีผลต่อการเกิดมะเร็งทางเดินอาหารหลายชนิด

  • อายุที่มากขึ้น ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารจะเพิ่มขึ้นตามอายุ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักได้รับการวินิจฉัยเมื่ออายุเกิน 50-60 ปีขึ้นไป สาเหตุหนึ่งคือการสะสมของความเสียหายต่อเซลล์ตามอายุและการสัมผัสปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ สะสมมายาวนาน

  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารหรือโรคทางพันธุกรรมที่เสี่ยงกับมะเร็งกระเพาะอาหาร จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารมากกว่าคนทั่วไป

อาการโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร

หนึ่งในเหตุผลที่มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นภัยเงียบก็คือ อาการในระยะแรกเริ่มมักไม่ชัดเจนหรือไม่มีเลย หลายคนอาจมีอาการเพียงเล็กน้อยที่คล้ายโรคกระเพาะหรืออาหารไม่ย่อยทั่วไป ทำให้มองข้ามไป จนกระทั่งโรคลุกลามมากขึ้นจึงปรากฏอาการเด่นชัด

อาการเริ่มแรกที่อาจพบ ได้แก่ ความรู้สึกไม่สบายท้องหรือแสบร้อนกลางอกเล็กน้อยหลังมื้ออาหาร ท้องอืด แน่นท้องเร็วกว่าปกติเมื่อรับประทานอาหารได้นิดหน่อย คลื่นไส้เล็กน้อย หรือรู้สึกเบื่ออาหารโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวและหลายคนอาจคิดว่าเป็นแค่อาการอาหารไม่ย่อยหรือโรคกระเพาะธรรมดา อาการจะชัดเจนและรุนแรงขึ้น ได้แก่

  • ปวดท้องเรื้อรัง ผู้ป่วยมักมีอาการปวดหรือจุกแน่นบริเวณกลางท้องหรือใต้ลิ้นปี่อย่างต่อเนื่อง อาการปวดอาจรุนแรงขึ้นหลังรับประทานอาหาร

  • รู้สึกอิ่มเร็วและเบื่ออาหาร ในระยะนี้ กระเพาะอาหารอาจไม่ขยายตัวได้ตามปกติ ผู้ป่วยจะรู้สึกอิ่มแน่นหลังทานอาหารไปเพียงเล็กน้อยและมักเบื่ออาหารร่วมด้วย

  • น้ำหนักลดลงโดยไม่ตั้งใจ การเบื่ออาหารและระบบเผาผลาญของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงส่งผลให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้ควบคุมอาหาร

  • อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ประกอบกับการที่มะเร็งส่งผลต่อการสร้างเม็ดเลือด (อาจมีภาวะโลหิตจางจากการเสียเลือดเรื้อรัง) ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง

  • กลืนอาหารลำบาก หากก้อนมะเร็งอยู่บริเวณส่วนบนของกระเพาะอาหารใกล้หลอดอาหาร หรือเกิดการอุดกั้น ผู้ป่วยอาจมีอาการกลืนลำบาก ติดขัด หรือเจ็บขณะกลืนอาหาร

  • อาเจียนหรืออาเจียนเป็นเลือด ในบางรายที่โรคลุกลามมากขึ้น อาจเกิดอาเจียนหลังรับประทานอาหาร และหากก้อนมะเร็งทำให้หลอดเลือดในกระเพาะแตกจะทำให้มีเลือดออก ผู้ป่วยจะอาเจียนเป็นเลือดสีแดงคล้ำ หรือสีกาแฟ

  • ถ่ายอุจจาระสีดำ เลือดที่ออกในกระเพาะและถูกย่อยบางส่วนจะทำให้อุจจาระมีสีดำคล้ายน้ำมันดิน (melena) ซึ่งเป็นสัญญาณของการมีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น

แนวทางการวินิจฉัยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร

ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นภัยเงียบที่มักไม่แสดงอาการหรือมีอาการไม่ชัดเจนในระยะเริ่มต้น แล้วเราจะสามารถวินิจฉัยในระยะเริ่มต้นได้อย่างไร? และทำไมจึงควรวินิจฉัยได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น?

ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ผู้ที่มีโรคทางพันธุกรรมบางชนิดที่เสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหาร หรือผู้ที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori (H. pylori) เป็นต้น ควรมาปรึกษาแพทย์เพื่อรับการคัดกรองที่เหมาะสมในแต่ละราย

บุคคลทั่วไปที่ไม่มีความเสี่ยง หากมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารต่าง ๆ ข้างต้น และได้รับการรักษาแล้วยังไม่ดีขึ้นหรือกลับมาเป็นซ้ำ ควรมาปรึกษาแพทย์เช่นกันเพื่อรับการตรวจแต่เนิ่น ๆ

ในประเทศไทยยังไม่มีแนวทางการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เนื่องจากเป็นโรคที่พบไม่บ่อย เพราะฉะนั้นการตระหนักรู้ของผู้ป่วยและแพทย์จึงมีความสำคัญ สำหรับการตรวจพบมะเร็งกระเพาะอาหารระยะเริ่มต้น  พบว่าการรักษามะเร็งกระเพาะอาหารในระยะแรก สามารถทำให้ผู้ป่วยหายขาดและมีชีวิตยืนยาวได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน ถือเป็นการตรวจที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการตรวจวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหาร และปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยในการหารอยโรคของมะเร็งกระเพาะอาหารระยะเริ่มต้นได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

แนวทางการรักษาโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร

แนวทางการรักษามะเร็งกระเพาะอาหารขึ้นกับระยะของโรค สภาพร่างกายผู้ป่วย และตำแหน่งของมะเร็งในกระเพาะอาหาร โดยหลัก ๆ แล้วมีวิธีการรักษาดังต่อไปนี้

  • การผ่าตัดผ่านการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน (Endoscopic Submucosal Dissection, ESD) เป็นการส่องกล้องตัดก้อนมะเร็งออกโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ วิธีนี้ลดการบาดเจ็บและช่วยรักษากระเพาะอาหารไว้ได้ในรายที่โรคยังจำกัดอยู่เฉพาะผิวเยื่อบุบาง ๆ สำหรับมะเร็งระยะเริ่มต้นมาก ๆ ที่ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็ก และยังอยู่เฉพาะชั้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร
  • การผ่าตัด (Surgery) เป็นวิธีรักษาหลักสำหรับมะเร็งกระเพาะอาหารระยะที่ยังจำกัดอยู่ในกระเพาะ การผ่าตัดอาจทำการตัดกระเพาะอาหารบางส่วนหรือทั้งหมด (gastrectomy) รวมถึงการเลาะต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงออกไปตรวจด้วย การผ่าตัดสามารถรักษาให้หายขาดได้หากมะเร็งยังอยู่เฉพาะที่และยังไม่แพร่กระจาย
  • เคมีบำบัด (Chemotherapy) การให้ยาเคมีบำบัดเป็นอีกแนวทางที่ใช้ควบคู่กับการผ่าตัดในหลายกรณี โดยเฉพาะในมะเร็งระยะที่มากกว่าเริ่มต้น หากตรวจพบว่ามะเร็งมีการกระจายไปต่อมน้ำเหลืองหรือมีความเสี่ยงสูงที่โรคจะกลับมา แพทย์มักให้เคมีบำบัดเพิ่มเติมหลังการผ่าตัด (adjuvant chemotherapy) เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลือและลดโอกาสการเกิดซ้ำของโรค นอกจากนี้ ในบางกรณีแพทย์อาจให้เคมีบำบัดก่อนการผ่าตัด (neoadjuvant chemotherapy) เพื่อช่วยยุบขนาดก้อนมะเร็งให้เล็กลง ทำให้ผ่าตัดได้ง่ายขึ้นและมีโอกาสรักษาหายขาดสูงขึ้น การรักษาด้วยการผ่าตัดร่วมกับเคมีบำบัดก่อนและหลังผ่าตัดเป็นมาตรฐานในมะเร็งกระเพาะอาหารระยะที่มีการฝังตัวลึกหรือกระจายต่อมน้ำเหลืองแล้ว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการควบคุมโรค
  • การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted therapy) เป็นการใช้ยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อเซลล์มะเร็งชนิดที่มีความผิดปกติของยีนหรือโปรตีนบางอย่าง ตัวอย่างเช่น มะเร็งกระเพาะอาหารบางรายมีการแสดงออกของโปรตีน HER2 บนผิวเซลล์สูง แพทย์อาจใช้ยา trastuzumab ซึ่งเป็นยามุ่งเป้าไปจับโปรตีน HER2 เพื่อยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้ยังมียามุ่งเป้าอื่น ๆ ที่ใช้ในกรณีมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลามตามความเหมาะสมของลักษณะเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยแต่ละราย การรักษาแบบมุ่งเป้ามักใช้ร่วมกับเคมีบำบัดในผู้ป่วยระยะลุกลามเพื่อควบคุมโรคให้ได้นานที่สุด
  • ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) เป็นแนวทางการรักษาใหม่ที่ใช้ยาซึ่งกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สามารถจดจำและกำจัดเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น ในมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลามบางรายที่เซลล์มะเร็งมีคุณสมบัติเหมาะสม แพทย์อาจใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดร่วมด้วยเพื่อช่วยยืดอายุและควบคุมโรค
  • รังสีรักษา (Radiation therapy) การฉายรังสีไม่ใช่วิธีหลักในการรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร แต่บางกรณีอาจนำมาใช้ร่วมกับเคมีบำบัดก่อนการผ่าตัดเพื่อช่วยทำให้ก้อนมะเร็งเล็กลง หรือใช้หลังผ่าตัดในกรณีที่ผ่าตัดออกไม่หมด นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการบรรเทาอาการ (เช่น ลดอาการปวดหรืออาการเลือดออก) ในผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่มะเร็งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

แนวทางการรักษามะเร็งกระเพาะอาหารมักเป็นการผสมผสานหลายวิธีเข้าด้วยกัน แพทย์ผู้รักษาจะพิจารณาปัจจัยหลายด้านทั้งระยะโรค ชนิดของเซลล์มะเร็ง สุขภาพผู้ป่วย และความต้องการของผู้ป่วยในการเลือกวิธีรักษาที่ให้ผลดีที่สุด เป้าหมายคือการรักษาให้หายขาดในผู้ป่วยที่โรคยังอยู่เฉพาะที่ และยืดอายุพร้อมทั้งรักษาคุณภาพชีวิตให้ดีที่สุดในผู้ป่วยที่โรคอยู่ในระยะลุกลาม

การป้องกันโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร

  • เข้ารับการตรวจคัดกรองเมื่อถึงวัยที่เหมาะสม เนื่องจากมะเร็งกระเพาะอาหารพบมากในผู้สูงอายุ ผู้ที่อายุเกิน 50 ปีขึ้นไป ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการตรวจสุขภาพระบบทางเดินอาหารอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหรือมีอาการทางกระเพาะเรื้อรัง การส่องกล้องกระเพาะอาหารเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองและพบมะเร็งในระยะเริ่มแรกได้ ประเทศที่มีอุบัติการณ์มะเร็งกระเพาะอาหารสูง (เช่น ญี่ปุ่น) มีการนำการส่องกล้องหรือเอกซเรย์กระเพาะอาหารมาใช้ในการตรวจคัดกรองประชากรอย่างแพร่หลายเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้

  • รักษาและกำจัดเชื้อ H. pylori หากคุณได้รับการตรวจและพบว่ามีการติดเชื้อ H. pylori ควรรับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะตามคำแนะนำของแพทย์ การกำจัดเชื้อ H. pylori ออกจากกระเพาะอาหารสามารถลดการอักเสบเรื้อรังและแผลในกระเพาะ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งในอนาคตได้

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ยึดหลักโภชนาการที่ดีเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงด้านอาหาร ควรรับประทานอาหารที่หลากหลาย ครบ 5 หมู่ โดยเพิ่มสัดส่วนของผักสดและผลไม้ในแต่ละวันให้มากขึ้น เลี่ยงการกินอาหารหมักดองเค็มจัด เนื้อสัตว์แปรรูป เบคอน ไส้กรอก และอาหารปิ้งย่างไหม้เกรียมเป็นประจำ นอกจากนี้ควรเลือกวิธีถนอมอาหารที่ปลอดภัย เช่น การแช่เย็นแทนการดองเค็ม ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีส่วนทำให้มะเร็งกระเพาะอาหารลดลงเมื่อเทียบกับสมัยก่อน

  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และสารยาสูบ งดสูบบุหรี่คือหนึ่งในวิธีป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหารที่มีประสิทธิผลที่สุด นอกจากมะเร็งกระเพาะแล้ว การเลิกบุหรี่ยังช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งชนิดอื่น ๆ และโรคร้ายแรงอีกหลายโรคด้วย

  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก ควรจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้อยู่ในระดับพอเหมาะหรือหลีกเลี่ยงเลยจะดีที่สุด งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าแอลกอฮอล์มีส่วนเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร การลดการดื่มจะช่วยลดความเสี่ยงทั้งมะเร็งกระเพาะและโรคร้ายอื่น ๆ

  • รักษาน้ำหนักตัวและออกกำลังกาย การมีน้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วนสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของมะเร็งกระเพาะอาหารบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งบริเวณส่วนบนของกระเพาะใกล้หลอดอาหาร การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานด้วยการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมและการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้ นอกจากนั้นการออกกำลังกายยังเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม ลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่ออื่น ๆ อีกด้วย

การป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหารจำเป็นต้องอาศัยความใส่ใจในสุขภาพและการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในระยะยาว แม้จะไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่เป็นโรค แต่การลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ และตรวจคัดกรองเมื่อถึงวัยหรือมีความเสี่ยงสูง จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหรือช่วยให้พบโรคตั้งแต่ระยะแรกที่รักษาได้ง่ายกว่า การตระหนักรู้และลงมือดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหารและโรคร้ายแรงอื่น ๆ

ตรวจบทความโดย: นพ.พิสิษฐ์ อภิโสภณศิริ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ชั้น 4 โซน A

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

 มะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นโรคมะเร็งที่พบได้ไม่บ่อยเมื่อเปรียบเทียบกับมะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับ เป็นต้น อย่างไรก็ตามสถิติการเสียชีวิตกลับสูงผิดคาด โดยพบว่าเป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากมะเร็งอันดับ 3 ในผู้ชาย และอันดับ 5 ในผู้หญิง จุดที่ทำให้โรคนี้อันตรายคืออาการในระยะแรกมักไม่เด่นชัด มักคล้ายโรคกระเพาะทั่วไป เช่น ท้องอืด จุก แน่นท้อง ส่งผลให้หลายคนมองข้ามและไม่ได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่ต้น เมื่อถึงเวลาที่ตรวจพบโรคมักเข้าสู่ระยะลุกลามทำให้รักษาได้ยากขึ้น

แม้มะเร็งกระเพาะอาหารจะไม่ติดอันดับต้น ๆ ของโรคมะเร็งที่พบบ่อยในประเทศไทย แต่ก็ถือเป็นภัยสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม จากรายงานปี 2022 พบว่ามีผู้ป่วยรายใหม่ประมาณ 4,000 รายต่อปี คิดเป็นราว 2.2% ของผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด และมีผู้เสียชีวิตประมาณ 3,000 รายต่อปี ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยกลางคนขึ้นไป แต่ก็สามารถพบได้ในคนอายุน้อยโดยเฉพาะในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงสูง การหมั่นตรวจสุขภาพและตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงของโรคนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการลดอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งกระเพาะอาหาร

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะอาหาร

มะเร็งกระเพาะอาหารเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์เยื่อบุกระเพาะอาหารจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างสามารถกระตุ้นหรือเพิ่มโอกาสให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้

  • การติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori (H. pylori) ถือเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งกระเพาะอาหาร โดยการติดเชื้อเรื้อรังจะก่อให้เกิดการอักเสบของกระเพาะอาหารแบบเรื้อรัง และความผิดปกติของเยื่อบุกระเพาะ นำไปสู่การเกิดแผลและการเปลี่ยนแปลงก่อนเป็นมะเร็งได้ในระยะยาว ผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารมักตรวจพบการติดเชื้อ H. pylori ในอัตราที่สูงกว่าคนทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ

  • อาหารแปรรูปและอาหารถนอมด้วยเกลือ พฤติกรรมการกินมีบทบาทอย่างมากต่อความเสี่ยงของโรคนี้ การรับประทานอาหารที่ผ่านการถนอมด้วยเกลือในปริมาณมาก เช่น ปลาเค็ม เนื้อเค็ม ผักดอง รวมถึงอาหารรมควันหรือปิ้งย่างจนไหม้ เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหาร สารไนโตรซามีนและสารก่อมะเร็งที่เกิดขึ้นในกระบวนการถนอมอาหารและปิ้งย่างอาจทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารเมื่อบริโภคเป็นประจำ

  • การรับประทานผักและผลไม้น้อย ผู้ที่ทานผักสดและผลไม้น้อยมีแนวโน้มว่าจะขาดสารต้านอนุมูลอิสระและสารอาหารที่ช่วยปกป้องเซลล์เยื่อบุกระเพาะ อาจส่งผลให้ความเสี่ยงมะเร็งเพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน การบริโภคผักผลไม้สดหลากหลาย โดยเฉพาะผลไม้ตระกูลส้มที่มีวิตามินซีสูง มีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งกระเพาะอาหาร

  • การสูบบุหรี่ การสูบบุหรี่เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารเพิ่มสูงขึ้น ผู้สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารประมาณ 2 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ไม่สูบ สารพิษจากบุหรี่ที่ถูกกลืนลงกระเพาะจะระคายเคืองเยื่อบุกระเพาะและส่งเสริมการกลายพันธุ์ของเซลล์

  • การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและต่อเนื่องสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของมะเร็งกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะผู้ที่ดื่มหนัก แอลกอฮอล์สามารถทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหารและตับ ซึ่งมีผลต่อการเกิดมะเร็งทางเดินอาหารหลายชนิด

  • อายุที่มากขึ้น ความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหารจะเพิ่มขึ้นตามอายุ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักได้รับการวินิจฉัยเมื่ออายุเกิน 50-60 ปีขึ้นไป สาเหตุหนึ่งคือการสะสมของความเสียหายต่อเซลล์ตามอายุและการสัมผัสปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ สะสมมายาวนาน

  • ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารหรือโรคทางพันธุกรรมที่เสี่ยงกับมะเร็งกระเพาะอาหาร จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารมากกว่าคนทั่วไป

อาการโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร

หนึ่งในเหตุผลที่มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นภัยเงียบก็คือ อาการในระยะแรกเริ่มมักไม่ชัดเจนหรือไม่มีเลย หลายคนอาจมีอาการเพียงเล็กน้อยที่คล้ายโรคกระเพาะหรืออาหารไม่ย่อยทั่วไป ทำให้มองข้ามไป จนกระทั่งโรคลุกลามมากขึ้นจึงปรากฏอาการเด่นชัด

อาการเริ่มแรกที่อาจพบ ได้แก่ ความรู้สึกไม่สบายท้องหรือแสบร้อนกลางอกเล็กน้อยหลังมื้ออาหาร ท้องอืด แน่นท้องเร็วกว่าปกติเมื่อรับประทานอาหารได้นิดหน่อย คลื่นไส้เล็กน้อย หรือรู้สึกเบื่ออาหารโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวและหลายคนอาจคิดว่าเป็นแค่อาการอาหารไม่ย่อยหรือโรคกระเพาะธรรมดา อาการจะชัดเจนและรุนแรงขึ้น ได้แก่

  • ปวดท้องเรื้อรัง ผู้ป่วยมักมีอาการปวดหรือจุกแน่นบริเวณกลางท้องหรือใต้ลิ้นปี่อย่างต่อเนื่อง อาการปวดอาจรุนแรงขึ้นหลังรับประทานอาหาร

  • รู้สึกอิ่มเร็วและเบื่ออาหาร ในระยะนี้ กระเพาะอาหารอาจไม่ขยายตัวได้ตามปกติ ผู้ป่วยจะรู้สึกอิ่มแน่นหลังทานอาหารไปเพียงเล็กน้อยและมักเบื่ออาหารร่วมด้วย

  • น้ำหนักลดลงโดยไม่ตั้งใจ การเบื่ออาหารและระบบเผาผลาญของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงส่งผลให้น้ำหนักตัวลดลงอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่ได้ควบคุมอาหาร

  • อ่อนเพลียและเหนื่อยง่าย เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ประกอบกับการที่มะเร็งส่งผลต่อการสร้างเม็ดเลือด (อาจมีภาวะโลหิตจางจากการเสียเลือดเรื้อรัง) ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่มีแรง

  • กลืนอาหารลำบาก หากก้อนมะเร็งอยู่บริเวณส่วนบนของกระเพาะอาหารใกล้หลอดอาหาร หรือเกิดการอุดกั้น ผู้ป่วยอาจมีอาการกลืนลำบาก ติดขัด หรือเจ็บขณะกลืนอาหาร

  • อาเจียนหรืออาเจียนเป็นเลือด ในบางรายที่โรคลุกลามมากขึ้น อาจเกิดอาเจียนหลังรับประทานอาหาร และหากก้อนมะเร็งทำให้หลอดเลือดในกระเพาะแตกจะทำให้มีเลือดออก ผู้ป่วยจะอาเจียนเป็นเลือดสีแดงคล้ำ หรือสีกาแฟ

  • ถ่ายอุจจาระสีดำ เลือดที่ออกในกระเพาะและถูกย่อยบางส่วนจะทำให้อุจจาระมีสีดำคล้ายน้ำมันดิน (melena) ซึ่งเป็นสัญญาณของการมีเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้น

แนวทางการวินิจฉัยโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร

ดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น มะเร็งกระเพาะอาหารเป็นภัยเงียบที่มักไม่แสดงอาการหรือมีอาการไม่ชัดเจนในระยะเริ่มต้น แล้วเราจะสามารถวินิจฉัยในระยะเริ่มต้นได้อย่างไร? และทำไมจึงควรวินิจฉัยได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น?

ผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ผู้ที่มีโรคทางพันธุกรรมบางชนิดที่เสี่ยงต่อมะเร็งกระเพาะอาหาร หรือผู้ที่มีการติดเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori (H. pylori) เป็นต้น ควรมาปรึกษาแพทย์เพื่อรับการคัดกรองที่เหมาะสมในแต่ละราย

บุคคลทั่วไปที่ไม่มีความเสี่ยง หากมีอาการเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหารต่าง ๆ ข้างต้น และได้รับการรักษาแล้วยังไม่ดีขึ้นหรือกลับมาเป็นซ้ำ ควรมาปรึกษาแพทย์เช่นกันเพื่อรับการตรวจแต่เนิ่น ๆ

ในประเทศไทยยังไม่มีแนวทางการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร เนื่องจากเป็นโรคที่พบไม่บ่อย เพราะฉะนั้นการตระหนักรู้ของผู้ป่วยและแพทย์จึงมีความสำคัญ สำหรับการตรวจพบมะเร็งกระเพาะอาหารระยะเริ่มต้น  พบว่าการรักษามะเร็งกระเพาะอาหารในระยะแรก สามารถทำให้ผู้ป่วยหายขาดและมีชีวิตยืนยาวได้มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน ถือเป็นการตรวจที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการตรวจวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหาร และปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่ช่วยในการหารอยโรคของมะเร็งกระเพาะอาหารระยะเริ่มต้นได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

แนวทางการรักษาโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร

แนวทางการรักษามะเร็งกระเพาะอาหารขึ้นกับระยะของโรค สภาพร่างกายผู้ป่วย และตำแหน่งของมะเร็งในกระเพาะอาหาร โดยหลัก ๆ แล้วมีวิธีการรักษาดังต่อไปนี้

  • การผ่าตัดผ่านการส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนบน (Endoscopic Submucosal Dissection, ESD) เป็นการส่องกล้องตัดก้อนมะเร็งออกโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ วิธีนี้ลดการบาดเจ็บและช่วยรักษากระเพาะอาหารไว้ได้ในรายที่โรคยังจำกัดอยู่เฉพาะผิวเยื่อบุบาง ๆ สำหรับมะเร็งระยะเริ่มต้นมาก ๆ ที่ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็ก และยังอยู่เฉพาะชั้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร
  • การผ่าตัด (Surgery) เป็นวิธีรักษาหลักสำหรับมะเร็งกระเพาะอาหารระยะที่ยังจำกัดอยู่ในกระเพาะ การผ่าตัดอาจทำการตัดกระเพาะอาหารบางส่วนหรือทั้งหมด (gastrectomy) รวมถึงการเลาะต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงออกไปตรวจด้วย การผ่าตัดสามารถรักษาให้หายขาดได้หากมะเร็งยังอยู่เฉพาะที่และยังไม่แพร่กระจาย
  • เคมีบำบัด (Chemotherapy) การให้ยาเคมีบำบัดเป็นอีกแนวทางที่ใช้ควบคู่กับการผ่าตัดในหลายกรณี โดยเฉพาะในมะเร็งระยะที่มากกว่าเริ่มต้น หากตรวจพบว่ามะเร็งมีการกระจายไปต่อมน้ำเหลืองหรือมีความเสี่ยงสูงที่โรคจะกลับมา แพทย์มักให้เคมีบำบัดเพิ่มเติมหลังการผ่าตัด (adjuvant chemotherapy) เพื่อทำลายเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลือและลดโอกาสการเกิดซ้ำของโรค นอกจากนี้ ในบางกรณีแพทย์อาจให้เคมีบำบัดก่อนการผ่าตัด (neoadjuvant chemotherapy) เพื่อช่วยยุบขนาดก้อนมะเร็งให้เล็กลง ทำให้ผ่าตัดได้ง่ายขึ้นและมีโอกาสรักษาหายขาดสูงขึ้น การรักษาด้วยการผ่าตัดร่วมกับเคมีบำบัดก่อนและหลังผ่าตัดเป็นมาตรฐานในมะเร็งกระเพาะอาหารระยะที่มีการฝังตัวลึกหรือกระจายต่อมน้ำเหลืองแล้ว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการควบคุมโรค
  • การรักษาแบบมุ่งเป้า (Targeted therapy) เป็นการใช้ยาที่ออกฤทธิ์จำเพาะต่อเซลล์มะเร็งชนิดที่มีความผิดปกติของยีนหรือโปรตีนบางอย่าง ตัวอย่างเช่น มะเร็งกระเพาะอาหารบางรายมีการแสดงออกของโปรตีน HER2 บนผิวเซลล์สูง แพทย์อาจใช้ยา trastuzumab ซึ่งเป็นยามุ่งเป้าไปจับโปรตีน HER2 เพื่อยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้ยังมียามุ่งเป้าอื่น ๆ ที่ใช้ในกรณีมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลามตามความเหมาะสมของลักษณะเซลล์มะเร็งของผู้ป่วยแต่ละราย การรักษาแบบมุ่งเป้ามักใช้ร่วมกับเคมีบำบัดในผู้ป่วยระยะลุกลามเพื่อควบคุมโรคให้ได้นานที่สุด
  • ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) เป็นแนวทางการรักษาใหม่ที่ใช้ยาซึ่งกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้สามารถจดจำและกำจัดเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น ในมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลามบางรายที่เซลล์มะเร็งมีคุณสมบัติเหมาะสม แพทย์อาจใช้ยาภูมิคุ้มกันบำบัดร่วมด้วยเพื่อช่วยยืดอายุและควบคุมโรค
  • รังสีรักษา (Radiation therapy) การฉายรังสีไม่ใช่วิธีหลักในการรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร แต่บางกรณีอาจนำมาใช้ร่วมกับเคมีบำบัดก่อนการผ่าตัดเพื่อช่วยทำให้ก้อนมะเร็งเล็กลง หรือใช้หลังผ่าตัดในกรณีที่ผ่าตัดออกไม่หมด นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการบรรเทาอาการ (เช่น ลดอาการปวดหรืออาการเลือดออก) ในผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่มะเร็งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้

แนวทางการรักษามะเร็งกระเพาะอาหารมักเป็นการผสมผสานหลายวิธีเข้าด้วยกัน แพทย์ผู้รักษาจะพิจารณาปัจจัยหลายด้านทั้งระยะโรค ชนิดของเซลล์มะเร็ง สุขภาพผู้ป่วย และความต้องการของผู้ป่วยในการเลือกวิธีรักษาที่ให้ผลดีที่สุด เป้าหมายคือการรักษาให้หายขาดในผู้ป่วยที่โรคยังอยู่เฉพาะที่ และยืดอายุพร้อมทั้งรักษาคุณภาพชีวิตให้ดีที่สุดในผู้ป่วยที่โรคอยู่ในระยะลุกลาม

การป้องกันโรคมะเร็งกระเพาะอาหาร

  • เข้ารับการตรวจคัดกรองเมื่อถึงวัยที่เหมาะสม เนื่องจากมะเร็งกระเพาะอาหารพบมากในผู้สูงอายุ ผู้ที่อายุเกิน 50 ปีขึ้นไป ควรปรึกษาแพทย์เรื่องการตรวจสุขภาพระบบทางเดินอาหารอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหรือมีอาการทางกระเพาะเรื้อรัง การส่องกล้องกระเพาะอาหารเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองและพบมะเร็งในระยะเริ่มแรกได้ ประเทศที่มีอุบัติการณ์มะเร็งกระเพาะอาหารสูง (เช่น ญี่ปุ่น) มีการนำการส่องกล้องหรือเอกซเรย์กระเพาะอาหารมาใช้ในการตรวจคัดกรองประชากรอย่างแพร่หลายเพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้

  • รักษาและกำจัดเชื้อ H. pylori หากคุณได้รับการตรวจและพบว่ามีการติดเชื้อ H. pylori ควรรับการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะตามคำแนะนำของแพทย์ การกำจัดเชื้อ H. pylori ออกจากกระเพาะอาหารสามารถลดการอักเสบเรื้อรังและแผลในกระเพาะ ซึ่งอาจช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งในอนาคตได้

  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน ยึดหลักโภชนาการที่ดีเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงด้านอาหาร ควรรับประทานอาหารที่หลากหลาย ครบ 5 หมู่ โดยเพิ่มสัดส่วนของผักสดและผลไม้ในแต่ละวันให้มากขึ้น เลี่ยงการกินอาหารหมักดองเค็มจัด เนื้อสัตว์แปรรูป เบคอน ไส้กรอก และอาหารปิ้งย่างไหม้เกรียมเป็นประจำ นอกจากนี้ควรเลือกวิธีถนอมอาหารที่ปลอดภัย เช่น การแช่เย็นแทนการดองเค็ม ซึ่งเป็นปัจจัยที่มีส่วนทำให้มะเร็งกระเพาะอาหารลดลงเมื่อเทียบกับสมัยก่อน

  • หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และสารยาสูบ งดสูบบุหรี่คือหนึ่งในวิธีป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหารที่มีประสิทธิผลที่สุด นอกจากมะเร็งกระเพาะแล้ว การเลิกบุหรี่ยังช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งชนิดอื่น ๆ และโรคร้ายแรงอีกหลายโรคด้วย

  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ปริมาณมาก ควรจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้อยู่ในระดับพอเหมาะหรือหลีกเลี่ยงเลยจะดีที่สุด งานวิจัยหลายชิ้นชี้ว่าแอลกอฮอล์มีส่วนเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร การลดการดื่มจะช่วยลดความเสี่ยงทั้งมะเร็งกระเพาะและโรคร้ายอื่น ๆ

  • รักษาน้ำหนักตัวและออกกำลังกาย การมีน้ำหนักตัวเกินหรือเป็นโรคอ้วนสัมพันธ์กับความเสี่ยงที่สูงขึ้นของมะเร็งกระเพาะอาหารบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งบริเวณส่วนบนของกระเพาะใกล้หลอดอาหาร การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานด้วยการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมและการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้ นอกจากนั้นการออกกำลังกายยังเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและส่งผลดีต่อสุขภาพโดยรวม ลดความเสี่ยงโรคไม่ติดต่ออื่น ๆ อีกด้วย

การป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหารจำเป็นต้องอาศัยความใส่ใจในสุขภาพและการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตในระยะยาว แม้จะไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่เป็นโรค แต่การลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ และตรวจคัดกรองเมื่อถึงวัยหรือมีความเสี่ยงสูง จะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหรือช่วยให้พบโรคตั้งแต่ระยะแรกที่รักษาได้ง่ายกว่า การตระหนักรู้และลงมือดูแลสุขภาพตั้งแต่วันนี้ จึงเป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหารและโรคร้ายแรงอื่น ๆ

ตรวจบทความโดย: นพ.พิสิษฐ์ อภิโสภณศิริ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ชั้น 4 โซน A

บทความที่เกี่ยวข้อง

 


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง